简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ก.ล.ต. เตรียมเปิด Sandbox ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแลกคริปโทฯ เป็นเงินบาท และใช้จ่ายผ่าน e-Money ได้ในไทย โดยต้องผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับ. โครงการมุ่งส่งเสริมนวัตกรรมการเงิน ควบคู่กับการควบคุมความเสี่ยงและการตรวจสอบตัวตน (KYC).
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังเตรียมเปิดโครงการ Sandbox ใหม่ เพื่อเปิดทางให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีเป็นเงินบาทได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมนำเงินบาทไปใช้จ่ายในประเทศไทยผ่านระบบ e-Money ที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างถูกต้อง
.
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย โดยเปิดทางเลือกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้ว สามารถนำมาแลกเป็นเงินบาทผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย จากนั้นสามารถใช้จ่ายผ่านผู้ให้บริการ e-Money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
แม้จะมีการสนับสนุนนวัตกรรม แต่โครงการนี้ยังคงยึดหลักการควบคุมความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องทำผ่านผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น และไม่ได้อนุญาตให้นำคริปโทฯ ไปชำระค่าสินค้าและบริการโดยตรง (หมายถึงไม่ใช่ใช้ Bitcoin หรือเหรียญอื่นจ่ายที่ร้านค้า) แต่ให้แลกเป็นเงินบาทก่อนเท่านั้น
เบื้องต้น นักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้บริการต้องทำการเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการที่อยู่ในระบบ Sandbox รวมถึงผ่านขั้นตอนการยืนยันตัวตน (KYC) ตามเกณฑ์ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยและโปร่งใส
ผู้ให้บริการที่สนใจเข้าร่วมโครงการต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในฐานะศูนย์ซื้อขาย นายหน้า หรือผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล และมีการเชื่อมต่อระบบกับผู้ให้บริการ e-Money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ธปท. ทั้งนี้จะต้องได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมทดสอบใน Sandbox ซึ่งจะมีระยะเวลาไม่เกิน 18 เดือน (และอาจขยายได้ตามความจำเป็น)
.
ในทางปฏิบัติ นักท่องเที่ยวจะสามารถแลกเปลี่ยนคริปโทฯ เป็นเงินบาทได้ และนำไปใช้จ่ายตามร้านค้าต่าง ๆ ผ่านการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การสแกน QR Code เพื่อซื้อสินค้าและบริการในประเทศ
ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการนี้แล้ว โดยชี้ว่า หาก Sandbox นี้สำเร็จ อาจเป็นก้าวใหม่สำคัญในการเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างความสะดวกให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก moneyandbanking
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
ลงทุน Bitcoin วันละ 1,000 บาทแบบ DCA ต่อเนื่อง 8 ปี กลายเป็นเงินกว่า 32 ล้านบาทจากเงินต้นแค่ 2.8 ล้าน กลยุทธ์นี้ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวน และเน้นวินัยมากกว่า timing ตลาด เป็นตัวอย่างว่าการลงทุนเล็ก ๆ แต่สม่ำเสมอ อาจเปลี่ยนชีวิตได้
ปลายปี 2017 คือจุดพีคของกระแส Bitcoin ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการรวยเร็ว ราคาพุ่งทะยานจาก $1,000 สู่เกือบ $20,000 ในเวลาไม่ถึงปี จนเกิดกระแส FOMO ไปทั่วโลก ผู้คนเทขายทรัพย์สินเพื่อเข้าตลาด แต่เมื่อต้นปี 2018 ฟองสบู่แตก ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง สะท้อนบทเรียนสำคัญว่า “ตลาดที่ขึ้นเร็ว มักลงแรง” แม้ภายหลังคริปโตจะฟื้นตัวและพัฒนาต่อไป แต่เหตุการณ์ปี 2017 ยังเป็นรอยจำของนักลงทุนรุ่นเก่า เตือนใจให้คิดให้รอบคอบก่อนลงทุน และอย่าหลงไปกับกระแสโดยไม่เข้าใจสิ่งที่ถืออยู่
Robinhood เปิดตัวโทเคนหุ้นอ้างอิงบริษัทดังอย่าง OpenAI และ SpaceX แม้หุ้นยังไม่ IPO จุดกระแส Tokenization แต่กลับถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส เมื่อพบว่าโทเคนเหล่านั้นอาจไม่ใช่หุ้นจริง ไม่ได้ให้สิทธิ์ผู้ถือ และอาจเป็นเพียงตราสารอนุพันธ์บนบล็อกเชน ด้าน OpenAI ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้ตลาดเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า “นี่คือการลงทุนจริง หรือแค่ภาพลวงตา” บทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนยุคใหม่: อย่ามองแค่ชื่อแบรนด์ ต้องตรวจสอบเบื้องหลังว่า "ถืออะไรอยู่จริง"
Ricardo Salinas มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของเม็กซิโก ออกโรงเตือนถึงภัยจาก ระบบเงินเฟียต (Fiat money) ที่ไม่มีอะไรค้ำประกัน พร้อมประกาศชัดว่า Bitcoin และทองคำ คือทางรอดของความมั่งคั่งในยุคเศรษฐกิจเปราะบาง “บ้านสร้างเพิ่มได้…แต่ Bitcoin มีจำกัด” Salinas มองว่าอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่ที่เก็บมูลค่าอีกต่อไป เพราะถูกเงินเฟ้อกัดกิน ขณะที่ Bitcoin เป็น “Hard money” ที่ไม่มีใครควบคุมได้ และพกพาได้ไร้พรมแดน เขายังจี้ให้พิจารณารีไฟแนนซ์บ้าน แล้วเอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อแทน พร้อมวิจารณ์แรงว่า…“เงินเฟียตคือเครื่องมือขโมยความมั่งคั่งของประชาชน”